ช่วงนี้ ฝนตกหนัก น้ำท่วมขัง โรคไข้เลือดออกกลับมาระบาดอีกแล้วนะคะ เด็กๆ เป็นเยอะเลย
วันนี้พามาทำความรู้จัก โรคนี้กันคะ 👩⚕️
🦟 โรคไข้เลือดออก คืออะไร?
โรคไข้เลือดออกเกิดจากไวรัสเดงกี (Dengue Virus) ซึ่งมีอยู่ 4 สายพันธุ์ การติดเชื้อครั้งแรกมักจะมีอาการไม่รุนแรง แต่ถ้าติดเชื้อครั้งที่ 2 โดยเชื้อที่ต่างสายพันธุ์กับครั้งแรก อาการมักจะรุนแรงถึงขั้นเลือดออกหรือช็อคหรือเสียชีวิต โรคนี้พบมาก ในเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี มักพบการระบาดในข่วงฤดูฝน
🔶การติดต่อ
โรคไข้เลือดออกติดต่อจากคนสู่คน โดยมียุงลาย (Aedes aegypti) เป็นพาหะที่สำคัญ ยุงตัวเมียจะกัดและดูดเลือดของผู้ป่วยซึ่งมีเชื้อไวรัสเดงกี เชื้อจะเข้าไปฟักตัวเพิ่มจำนวนในยุงและสามารถถ่ายทอดเชื้อให้คนที่ถูกมันกัดได้
ยุงลายเป็นยุงที่อาศัยอยู่ภายในบ้านและบริเวณบ้าน มักจะกัดเวลากลางวัน แหล่งเพาะพันธุ์ คือ น้ำใสที่ขังอยู่ตามภาชนะเก็บน้ำต่างๆ เช่น โอ่งน้ำ แจกันดอกไม้ ถ้วยรองขาตู้ จาน ชาม กระป๋อง หม้อ กระถาง ยางรถ เป็นต้น
โดยทั่วไปโรคไข้เลือดออกจะพบมากในฤดูฝนเนื่องจากยุงลายมีการแพร่พันธุ์มากในฤดูฝน
🔶อาการ
1. ระยะไข้
เป็นระยะไข้สูง ประมาน 2-7 วัน ผู้ป่วยจะมีไข้สูงเกือบตลอดเวลา เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง มักมีหน้าแดง ตัวแดง และอาจมีผื่นหรือจุดเลือดออกตามลำตัว แขน ขา
หากเด็ก ๆมีอาการไข้สูงลอย อ่อนเพลีย และสงสัยติดเชื้อไข้เลือดออกแนะนำไปพบแพทย์ เพื่อเจาะเลือด ดูปริมาน เม็ดเลือดขาวและเกร็ดเลือด และตรวจหาเลื้อ Dengue เพื่อช่วยยืนยันการวินิจฉัยและการนัดเฝ้าระวังติดตาม
2.ระยะช็อค
ระยะนี้ไข้จะเริ่มลดลง โดยส่วนใหญ่ จะไข้ลงประมานวันที่ 4-5 ของระยะไข้ ผู้ป่วยจะซึม เหงื่อออก มือเท้าเย็น ชีพจรเต้นเบาแต่เร็ว ปวดท้อง โดยเฉพาะบริเวณใต้ชายโครงขวา ปัสสาวะออกน้อย อาจมีเลือดออกง่าย เช่น มีเลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือด อุจจาระมีสีดำ ในรายที่รุนแรง จะมีความดันโลหิตต่ำ ช็อค และอาจถึงตายได้ ระยะนี้กินเวลา 24-48 ชั่วโมง ซึ่งผู้ป่วยแต่ละรายไม่จำเป็นต้องเป็นรุนแรงและเข้าสู่ภาวะช็อคทุกรายในผู้ป่วยไข้เลือดออกที่อาการไม่รุนแรง เมื่อไข้ลดก็จะมีอาการดีขึ้น รับประทานอาหารได้ เข้าสู่ระยะฟื้นตัว3
3.ระยะฟื้นตัว
ระยะฟื้นตัวอาการต่างๆจะเริ่มดีขึ้น ผู้ป่วยรู้สึกอยากรับประทานอาหาร ความดันโลหิตสูงขึ้น ชีพจรเต้นแรงขึ้นและช้าลง ปัสสาวะมากขึ้น บางรายมีผื่นแดง และจุดขาวๆ ตามแขนขา คัน (Convalescent rash) ได้
👩⚕️ ข้อแนะนำการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน ดังนี้
- เช็ดตัวลดไข้ ให้ยาลดไข้ตามที่แพทย์สั่ง ได้แก่ ยาพาราเซตามอล ทุก 4-6 ชั่วโมง ถ้ามีไข้เกิน 3 วัน ควรมาพบแพทย์
- ห้ามให้ยาลดไข้ที่มีส่วนผสมของแอสไพริน หรือ ibuprofen เพราะอาจทำให้เกิดเลือดออกในทางเดินอาหารได้
- ดื่มน้ำมากๆ โดยแนะนำให้ดื่มน้ำผลไม้หรือน้ำเกลือแร่แทนน้ำเปล่า
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสจัดทุกชนิด เพราะอาจระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสีแดงหรือดำ เพราะอาจทำให้สับสนกับภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารได้
- ให้มาพบแพทย์ทันทีหากมีอาการต่อไปนี้
- อาเจียนมาก ไม่สามารถรับประทานอาหารและน้ำได้เพียงพอ
- ปวดท้องมาก
- มีเลือดออกรุนแรง เช่น ถ่ายดำ อาเจียนเป็นเลือด
- เอะอะโวยวาย มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง
- กระสับกระส่าย เหงื่อออก ตัวเย็น มือเท้าเย็น
- ไม่ปัสสาวะนานกว่า 6 ชั่วโมง
- ซึมลงไม่ค่อยรู้สึกตัว หอบเหนื่อย
📌การรักษา
เนื่องจากยังไม่มียาต้านเชื้อไวรัสที่มีฤทธิ์เฉพาะสำหรับเชื้อไวรัสเดงกี การรักษาตามอาการจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยให้ยาพาราเซทตามอลในช่วงที่มีไข้สูง ห้ามให้ยาแอสไพริน ถ้ามีอาการคลื่นไส้อาเจียนให้ยาแก้คลื่นไส้และให้ดื่มน้ำเกลือแร่หรือน้ำผลไม้ครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง และคอยสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด เพื่อจะได้ป้องกันภาวะช็อคได้ ระยะที่เกิดช็อคส่วนใหญ่จะเกิดพร้อมๆกับช่วงที่ไข้ลดลง ผู้ปกครองควรทราบอาการก่อนที่จะช็อค คือ อาจมีอาการปวดท้อง ปัสสาวะน้อยลง มีอาการกระสับกระส่ายหรือซึมลง มือเท้าเย็นพร้อมๆกับไข้ลดลง หน้ามืด เป็นลมง่าย หากเป็นดังนี้ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที
🦟การป้องกัน
- ป้องกันไม่ให้ยุงกัด โดยนอนในมุ้งแม้ในเวลากลางวัน
- กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงในบ้าน รวมทั้งบริเวณรอบๆบ้าน
- ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำในภาชนะที่ขังน้ำทุก 7 วัน เช่น แจกัน
- กำจัดภาชนะแตกหักที่ขังน้ำ เช่น ยางรถเก่า กระถาง
- เลี้ยงปลากินลูกน้ำในอ่างบัวหรือแหล่งน้ำอื่นๆ
- ปิดฝาโอ่งหรือภาชนะอื่นๆให้มิดชิดหรือใส่ทรายเคมี กำจัดลูกน้ำในภาชนะที่เก็บน้ำไว้ใช้ใส่เกลือหรือน้ำส้มสายชูลงในจานรองขาตู้กับข้าวสัปดาห์ละครั้ง
- ใส่ทรายอะเบต 1% ลงในตุ่มน้ำและภาชนะกักเก็บน้ำในอัตราส่วน 10 กรัมต่อน้ำ 100 ลิตรควรเติมใหม่ทุก 2-3 เดือน น้ำที่ใส่ทรายอะเบตสามารถใช้ดื่มกินได้อย่างปลอดภัย
- ฉีดวัคซีนไข้เลือดออก โดยแนะนำฉีดในผู้ที่เคยติดเชื้อไวรัสเดงกี มาแล้ว ซึ่งจะสามารถลดความรุนแรงของโรคได้ โดยสามารถฉีดได้ ในเด็ก 6 ปีขึ้นไป และผู้ใหญ่ ไปจนถึง อายุ 45 ปี โดยฉีดทั้งหมด 3 ครั้ง ที่ 0 ,6 และ 12 เดือน หากยังไม่เคยติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออกแนะนำตรวจเลือดก่อนฉีดหรือปรึกษาแพทย์ก่อน โรคไข้เลือดออก จะเห็นว่าเป็นโรคที่ต้องเฝ้าระวัง มีอาการตั้งแต่ไม่รุนแรง จนถึงเสียชีวิตได้ หากมีไข้สูงอ่อนเพลีย แนะนำไปพบแพทย์ โรคนี้สามารถป้องกันได้ โดยการไม่ให้ยุงกัดและกำจัดแหล่งเพาะพันธ์ุยุงลาย และวัคซีนไข้เลือดออก โดยเฉพาะผู้ที่เคยติดเชื้อไข้เลือดออกแล้ว เพื่อลดความรุนแรงของโรคกรณีติดเชื้อซ้ำ
บทความโดย : พ.ญ พิมพิกา ตันติธรรมวงศ์
22 ต.ค 2565